16 ธ.ค. 2553

TOKYO SONATA


สิ่งที่ได้เรียนรู้จากภาพยนตร์
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ คือสังคมของครอบครัวญี่ปุ่น ที่ผู้ชายต้องเป็นผู้นำ เป็นคนตัดสินใจของทุกๆเรื่องในครอบครัว ส่วนคนอื่นๆ ในครอบครัวก็ต้องเป็นผู้ตาม โดยเฉพาะภรรยาที่ต้องปรนิบัติสามีและลูกๆ อยู่กับบ้าน

ทฤษฎีสังคม
ดังที่กล่าวมาแล้ว คือ พ่อใหญ่ที่สุดเป็นผู้ปกครองครอบครัว ต้องเป็นคนมีอำนาจเด็ดขาด สิ่งเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่เหมือนบังคับให้พ่อต้องมีศักดิ์ศรีค้ำคอ ต้องเป็นผู้ปกครอง จะล้มไม่ได้ ส่วนแม่ก้อมีหน้าที่เพียงอย่าเดียว คือดูแลเรื่องอาหารการกินของคนในครอบครัว ความเรียบร้อยภายในบ้าน

หากเป็นพ่อ
ดิฉันจะลดศักดิ์ศรีของตัวเองลงให้พอดี มีปัญหาอะไรก็จะนำมาพูดคุยกับภรรยา ให้ช่วยกันคิด ปรึกษา หาทางออกให้ปัญหานั้น หรือหาทางแก้ไขให้ดีขึ้น เพื่อความมั่นคงของครอบครัวตัวเอง ใช้เหตุผลเข้ามาพูดกันในครอบครัวมากขึ้นกว่าใช้อารมณ์

หากเป็นแม่
ดิฉันเข้าใจในเรื่องของหน้าที่ของแม่บ้านในวัฒนธธรมญี่ปุ่น โดยแม่ในเรื่องนี้ก้อปฏิบัติหน้าที่ในการเป็นแม่บ้านได้อย่างดีแล้ว แต่ในด้านการเป็นภรรยายังไม่ค่อยสมบูรณ์นัก ดิฉันจะพยายามหาเวลาพูดคุยกับสามีและลูกๆ ให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆก็ตาม อาจจะเป็นเรื่องภายในบ้าน หรือเรื่องทั่วไป ไม่ใช่แต่เฉพาะเรื่องการกินอย่างเดียว อย่างน้อยก็จะทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวยังคงแน่นแฟ้นอยู่ เพราะในเรื่องไม่ค่อยคุยกัน เลยทำให้เหมือนต่างคนต่างอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างกันในครอบครัวเลยห่างกันออกไปเรื่อยๆ

หากเป็นพี่คนโต
ดิฉันจะหันมาสนใจและอยู่กับครอบครัวให้มากกว่านี้ เพราะตัวเองโตแล้วพอที่จะเป็นที่พึ่งของคนอื่นๆในครอบครัวรองจากพ่อได้ และเมื่อสัมผัสได้ว่าคาวมสัมพันธืในครอบครัวเริ่มแย่ลงก็ควรจะทำอะไรให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่ทำตัวให้พ่อแม่หนักใจมากกว่าเดิม

หากเป็นน้องคนเล็ก
ดิฉันจะพยายามทำตัวเป็นเด็กดี ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ อาจจะได้ไม่มากเพราะเด็กวัยนี้คงยังไม่รับรู้อะไรมากนัก อยู่ที่การเลี้ยงดูและปลูกฝังมากกว่า

หากเป็นตนเอง
หากเป็นตัวเอง ก็จะไม่ทำตัวให้เป็นปัญหาของครอบครัวเพิ่มเข้าไปอีก และจะพยายามทำให้สถานการณ์ภายในครอบครัวดีขึ้นกว่านี้ สิ่งที่จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างดีคือ การหันหน้าเข้ามาคุยกัน

อื่นๆ
เราอาจจะพูดได้ว่าหากเราเป็นตัวละครในเรื่องจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยความที่ว่าเราคุ้นเคยกับความคิดในแบบแผนที่เราเติบโตมา แต่ถ้าหากเป็นตัวละครนั้นจริงๆ เราอาจจะทำได้ไม่ดีเท่าที่เค้าทำก็ได้ เพราะเราไม่ได้ถูกปลูกฝังและเข้าใจในค่านิยม วัฒนธรรมในความคิดหรือทัศนคติเหมือนตัวละครในสังคมนั้นๆ ว่าเป็นอย่างไร? ดังนั้นมุมมองของแต่ละคน แต่ละพื้นที่ แต่ละวัฒนธรรมที่จะวิจารณ์หนังเรื่องนี้จึงแตกต่างกันออกไป

ข้อคิด
"ผู้ใหญ่เอาแต่ใจ" เป็นคำพูดของลูกชายคนเล็กที่พูดกับเพื่อนเรื่องสาเหตุที่เลิกเรียนเปียโน
เป็นคำพูดที่สะท้อนถึงความน้อยใจที่มีต่อพ่อเป็นอย่างดี ที่พ่อยังไม่ทันจะฟังเหตุผลก็ตัดสินใจแล้ว ใช้อารมณ์เป็นหลัก โดยที่ตนเองเป็นเด็กทำอะไรไม่ได้ คำพูดนี้น่าจะโดนกับผู้ชายญี่ปุ่นที่เป็นหัวหน้าครอบครัวได้หลายคน เพราะอำนาจการตัดสินใจทุกอย่างอยู่ที่ตนเอง หากขาดเหตุผลพูดไวกว่าความคิด ก็ถอนคำพูดลำบาก ไม่ต่างอะไรกับเด็กเอาแต่ใจ

คำถาม
สงสัยในความคิดของแม่ ว่าแม่คิดอะไรอยู่ ชั่ววูบหนึ่งถึงได้ตัดสินใจทิ้งทุกอย่าง ทิ้งบ้าน ทิ้งสามี ทิ้งลูก ไปกับโจรซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน.. และถ้าหากวันนั้นโจรไม่หนีปัญหาไป แม่จะยังคงตัดสินใจกลับมาหาครอบครัวหรือเปล่า??







19 พ.ย. 2553

ปัญหาความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม

ปัญหาความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ

ปัญหาความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมของไทยในปัจจุบัน ถือว่าเป็นปัญหาที่สมควรได้รับการแก้ไขอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลจะพยายามแก้ไขปัญหานี้ แต่ก้อยังไม่ได้ผล อาจเป็นเพราะว่าไม่ได้สนใจที่จะแก้ไขปัญหานี้อย่างแท้จริง ทำให้ปัญหามันเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นๆ จนระดับความเลื่อมล้ำมันห่างกันออกไปเรื่อยๆ และทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบต่อประเทศอย่างมาก ถ้าหากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง

ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ : คือ การกระจายรายได้ของคนจน กับคนรวย แตกต่างกันมาก



ความเหลื่อมล้ำทางสังคม : คือ โอกาส ทางสังคม ที่แตกต่างกันไม่ ว่าจะเป็นการศึกษา การแพทย์ การใช้ชีวิต การใช้อิทธพล ความเชื่อที่ต่างกันและการดูถูกเหยีดหยามกัน เป็นต้น


โดยความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมนั้น มักจะเกี่ยวข้อง สัมพันธ์กันเสมอ และจะสังเกตุได้ว่าสิ่งที่เป็นตัวแบ่งฐานะทางสังคมของสังคมไทยเราส่วนใหญ่ จะใช้เงินเป็นบรรทัดฐานในการวัดระดับของคน

ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคมนั้น จะก่อให้เกิดความแตกต่างเป็นอย่างมากระหว่างคนรวยกับคนจน คนเมืองกับคนชนบท สังเกตุได้ง่ายๆในบ้านเราทั่วไป คือ

คนรวย ก็รวยล้นฟ้า กินใช้อย่างไรก็ไม่หมด

คนจน ก็จนสุดขั้ว จนไม่มีเงินติดตัว
ไม่มีข้าวกินประทังชีวิต

สาเหตุหนึ่งที่ดิฉันเห็น อาจจะเป็นเพราะสังคมเรา มีทิศทางการพัฒนาที่เน้นการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดนการการพัฒนาอุตสาหกรรมและพัฒนาเมือง แต่ในทางตรงกันข้ามก็ได้ละเลยการพัฒนาเกษตรกรรมและชนบทอย่างลำเอียง ทำให้คนที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ได้รับผลกระทบ อยู่ไม่ได้ จำเป็นจะต้องหาหนทางทำกินใหม่เพื่อเลี้ยงตัวเอง ทำให้มีการเข้ามาหางานและโอกาสในเมือง ทั้งในเมืองหลวงและแหล่งเมืองที่เจริญอื่นๆ เมื่ออพยพเข้ามาในเมืองก็ไม่สามารถหาที่อยู่อาศัยของตนเองได้ อาจจะเป็นเพราะที่ดินในเมืองราคาแพง เป็นต้น จึงจำเป็นต้องเข้าไปตั้งหลักแหล่งในที่ดินว่างเปล่าใกล้ที่ทำงานเพื่ออาศัย ต่อมาจึงได้ขยายกลายเป็นชุมชนแออัด ก็จะนำไปสู่ปัญหาสังคมปัญหาอื่นๆ ต่อไปอีก





ทางแก้ไขของปัญหานี้นั้น อาจจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกส่วนอย่างจริงจัง และรัฐบาลต้องเป็นแกนหลัก และคงต้องแก้ไปพร้อมๆ กัน ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม เพราะการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่อยู่ที่คนจน แต่สิ่งสำคัญคืออยู่ที่คนรวย และกลุ่มอำนาจที่คอยขวางการแก้ปัญหานี้ เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ซึ่งรัฐมีอำนาจในการจัดการกับคนกลุ่มนี้ได้